แสงสว่างแห่งธรรม
“แสงสว่างแห่งธรรม”
พระธรรมคำสอนอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าเป็นปัญญา
เป็นแสงสว่างนำทางให้ผู้ปฏิบัติได้อยู่ห่างไกล จากความทุกข์ทั้งหลาย การที่พวกเรายังตกอยู่ในความทุกข์ต่าง
ๆ ก็เพราะว่า เราขาดแสงสว่างแห่งธรรม ขาดปัญญาที่จะทำให้เราเห็นว่าอะไรเป็นความทุกข์
อะไรเป็นความสุข เหมือนกับเวลาที่เราอยู่ในที่มืดไม่มีไฟ
เราจะไม่รู้ว่าข้างหน้าเรา ข้างหลังเรามีอะไรบ้าง มีคุณหรือมีโทษกับเรา
เราจะไม่รู้เวลาที่เราอยู่ในที่มืด เราจึงต้องมีแสงสว่าง เช่นไฟฉาย
ถ้าเราจะเดินไปไหนมาไหน เราต้องฉายไฟดูก่อนว่า
ทางข้างหน้าที่เราจะเดินไปนั้นมีอะไรที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของเราหรือไม่
ถ้าเราไม่มีแสงไฟ เราจะไม่กล้าเดินไปไหน
แต่ใจของพวกเราที่ไม่มีแสงสว่างแห่งธรรมกลับไม่กลัวกัน กล้าที่จะไปทำอะไรต่าง ๆ
โดยไม่มีแสงสว่างนำทาง พอทำไปแล้วก็เกิดความเสียหาย เกิดความทุกข์ใจตามมา
แต่เราก็ไม่มีทางเลือก เพราะเราไม่มีแสงสว่างและเรายังต้องการที่จะหาความสุขอยู่
เราจึงยอมเสี่ยงในการหาความสุข ยอมเสี่ยงกับภัยต่าง ๆ แล้วเราก็มักจะได้รับภัยต่าง
ๆคือได้รับความทุกข์กันอย่างถั่วหน้า
ไม่มีใครในสถานที่นี้ที่จะบอกว่า
ไม่มีความทุกข์เลย นั่นก็เป็นเพราะว่าเราไปไหนมาไหนในที่มืดไม่มีแสงสว่าง
แล้วเราก็ไปเจอกับปัญหาไปเจอกับความทุกข์ต่าง ๆ
ถ้าเราได้มาพบกับพระพุทธศาสนาได้พบกับ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
เราก็จะได้เรียนรู้ว่ามีอะไรที่เป็นภัยเป็นอันตรายกับเรา มีอะไรที่เป็นคุณ
เป็นประโยชน์กับเราก็เหมือนกับมีแสงสว่างที่ทำให้เราเห็นว่าทางที่เราเดินไปนี้มีอะไรที่เป็นคุณเป็นประโยชน์
มีอะไรที่เป็นโทษเป็นภัยกับเรา พอเรารู้แล้วเราก็จะได้หลีกเลี่ยงภัยต่าง ๆ
เราก็จะเดินเข้าหาสิ่งที่เป็นคุณ เป็นประโยชน์กับเรา ธรรมะสอนให้เรารู้ว่าอะไรเป็นภัยกับเรา
รู้ว่าอะไรเป็นคุณเป็นประโยชน์กับเรา ให้เราถอนออกจากสิ่งที่เป็นภัยกับเรา
แล้วให้เราเข้าหาสิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์กับเรา
สิ่งที่เป็นภัยกับเราที่ให้ความทุกข์กับเรา
ก็สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ภายนอกใจของเรานี่เอง ไม่ว่าจะเป็นร่างกายคือตา หู จมูก ลิ้น
กาย ไม่ว่าจะเป็นของนอกกาย เช่นลาภยศ สรรเสริญ รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ ของต่าง
ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นภัยต่อใจ เป็นเหมือนกับถ่ายไฟแดง ถ้าเราเอามือไปจับมัน
มันก็จะไหม้มือเรา เพราะมันเป็นของร้อน แต่พวกเราไม่มีใครบอก
พวกเราจึงเดินเข้าหาของร้อนของที่เป็นภัยต่อใจของเรา แล้วเราก็ต้องมาทุกข์กับสิ่งที่เราเดินเข้าหาสิ่งที่เราแสวงหา
สิ่งที่เราอยากได้ เช่น ลาภยศ สรรเสริญ รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ
เราเดินเข้าหาสิ่งเหล่านี้กันแล้วเราก็ต้องมาร้องห่มร้องไห้
เศร้าโศกเสียใจวุ่นวายไปกับสิ่งเหล่านี้ เพราะสิ่งเหล่านี้เขาไม่แน่นอน
เขามาแล้วเขาก็ไปได้ เวลาเขามา เราก็ดีอกดีใจ เวลาได้ลาภได้ยศได้สรรเสริญ
ได้ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย เราก็ ดีอก ดีใจ
แต่เราไม่รู้ว่าเขามาแล้วเดี๋ยวเขาก็ไปได้จากเราไปได้ หรือเราต้องจากเขาไป
เวลาที่เขาจากเราไปหรือเวลาที่เราจากเขาไป เวลานั้นก็เป็นเวลาที่ทำให้เรา
มีความทุกข์ใจกัน นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พวกเราถอนออกอย่าเข้าหา
ให้ถอยเพราะว่าเป็นเหมือนไฟ ที่จะเผาหัวใจของเราให้ทุกข์ทรมานนั่นเอง
ให้เราถอนออกจากการหาลาภยศ สรรเสริญ
การหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายแล้วก็ให้เราเข้ามาข้างในใจ
ให้มาหาความสุขที่แท้จริงที่มีอยู่ในใจของเรา ให้เราไม่ต้องไปพึ่งสิ่งต่าง ๆ
ให้มาให้ความสุขกับเรา
ใจของเรานี้สามารถที่จะมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องมีอะไร
ไม่ต้องมีลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ต้องมีรูปเสียงกลิ่นรส
โผฏฐัพพะชนิดต่าง ๆ ไม่ต้องมีร่างกายไว้เป็นเครื่องมือหาสิ่งต่าง ๆ มาให้กับใจ
เพราะว่าสิ่งต่าง ๆ และเครื่องมือคือร่างกายก็เป็นสิ่งที่ไม่ถาวรไม่แน่นอน
บางเวลาก็ดีก็หาสิ่งต่าง ๆ ตามที่อยากได้ บางเวลาก็ไม่ดี เช่นร่างกาย
บางเวลาก็เจ็บไข้ได้ป่วยก็จะไม่สามารถทำหน้าที่หาสิ่งต่าง ๆ มาให้ความสุขกับใจได้
เวลาที่ไม่สามารถหาความสุขให้กับใจได้ เวลานั้นก็เป็นเวลาที่ทำให้ใจมีแต่ความทุกข์
นี่ก็เป็นเพราะว่าเรา ไม่ได้ศึกษาไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ที่สอนให้เราละการหา ความสุขต่าง ๆ ภายนอกของใจ
ให้หาความสุขที่มีอยู่ภายในใจคือความสงบของใจ
ใจจะสงบได้ก็ต้องยุติการหาความสุขภายนอกใจ
ถ้ายังหาความสุขภายนอกใจอยู่ ใจจะไม่มีวันสงบได้
เพราะใจต้องทำงานต้องคอยหาสิ่งนั้นสิ่งนี้มา หามาได้แล้วเดี๋ยวเขาก็หมดไป
ก็ต้องหามาเพิ่มหามาเติมอยู่เรื่อย ๆ เวลาหามาได้ก็ดีอกดีใจ มีความสุขใจ
เวลาหาไม่ได้ก็เสียอกเสียใจ ทุกข์ใจ นี่คือความทุกข์ที่พวกเราเดินเข้าหากัน
อย่างไม่รู้สึกตัว เพราะถูกความหลงหลอกให้คิดว่าเป็นความสุขนั่นเอง
เวลาเกิดความทุกข์ก็ไม่ได้ไปโทษ สิ่งที่ให้ความทุกข์กับเรา
มีแต่พยายามที่จะหามาใหม่ ถ้าได้อะไรมาแล้ว เวลาสูญเสียไปก็เสียอกเสียใจ
แต่ไม่โทษว่า สิ่งที่เราได้มานั้นเป็นเหตุที่ทำให้เราเสียอกเสียใจ
กลับไปหามาใหม่อีก พอเสียสิ่งนี้ไปก็ไปหาสิ่งอื่น มาทดแทน
พอหามาได้ก็เหมือนเดิมอีก หามาแล้วเดี๋ยวเขาก็เสียไปอีก จากเราไปอีก
ก็ต้องหาใหม่อยู่เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นลาภยศ สรรเสริญ
เป็นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะในรูปแบบต่าง ๆ เช่นบุคคล ข้าวของต่าง ๆ
ก็ถือว่าเป็นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะเหมือนกัน เราหามาแล้วพอมันหมดไป
เราก็ต้องหามาใหม่ หามาได้มาก หามาได้น้อยก็ไม่เคยเกิดคำว่าพอ
มีแต่อยากจะได้อยู่เรื่อย ๆ แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้มาอยู่เรื่อย ๆ
อย่างไม่มีวันหมดวันสิ้นสุด
เพราะว่าร่างกายของเราที่เป็นเครื่องมือที่จะหาสิ่งต่าง ๆ มา
มันจะไม่สามารถหามาได้เรื่อย ๆไปตลอด ร่างกายก็จะต้องแก่ลงไปตามลำดับ
จะต้องเกิดการเจ็บ ไข้ได้ป่วยตามลำดับและก็จะต้องตายไปในที่สุด
เวลาที่ไม่สามารถใช้ร่างกายหาสิ่งต่าง
ๆที่อยากจะได้ก็จะเกิดความทุกข์ใจ ส่วนสิ่งที่เราได้มาก็มีอันเป็นไป
ได้มาแล้วก็หมดไป ได้มาใช้ไปก็หมดไป พอหมดไปก็ต้องไปหามาใหม่
ก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จะไม่มีวันถึงจุดอิ่มจุดพอได้
เพราะไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะให้ความอิ่มความพอแก่ใจของเราได้นั่นเอง
มีแต่จะเพิ่มความหิวความอยากความต้องการให้มีไปเรื่อย ๆ ให้มีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
ไม่มีวันหมด นี่แหละคือโทษ หรือภัยของใจก็คือการหาความสุขภายนอกใจนั่นเอง
เราจึงต้องยุติการหาความสุขเหล่านี้ แล้วเขาหาความสุข ที่มีอยู่ภายในใจของเรา
เราต้องดึงใจของเราให้กลับเข้ามาข้างในให้ได้ ถ้าเราดึงกลับเข้ามาได้
เราเข้ามาข้างในใจได้ เราก็จะได้พบกับความสุขที่มีจุดอิ่มตัว
จะมีความสุขที่มีคำว่าพอ จะไม่ได้อยากอะไร อีกต่อไป
ถ้าได้ความสุขภายในใจนี้แล้วจะไม่ต้องการอะไรอีกต่อไป
แล้วความสุขที่ได้อยู่ภายในใจนี้ ก็จะอยู่ติดไปกับใจไปตลอด
ใจก็เป็นสิ่งที่ไม่มีวันเสื่อมไม่มีวันสิ้นไม่มีวันสูญ ใจก็จะอยู่ไปตลอด
ความสุขที่อยู่กับใจก็จะอยู่คู่กับใจไปตลอด อันนี้แหละคือคุณประโยชน์ของใจอยู่ภายในใจ
ส่วนของภายนอกใจนี้ล้วนเป็นโทษกับใจทั้งหมด
พระพุทธเจ้าจึงต้องสอนให้พวกเรา
ปล่อยวาง หรือตัดความผูกพันตัดความชอบความอยากได้สิ่งต่าง ๆ ภายนอกใจไปให้หมด
ให้ตัดการหาลาภยศ สรรเสริญ หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย
ให้ตัดการหาร่างกายเอามาใช้เป็นเครื่องมือในการหาความสุขชนิดต่าง ๆ
เพราะความสุขที่ได้นี้
มันมีความทุกข์แถมมาด้วยและเป็นความทุกข์ที่มากกว่าความสุขที่เราได้มา
คือได้ไม่คุ้มเสียนั่นเอง ความสุขที่ได้นี้เพียงเล็กน้อย
แต่ความทุกข์ที่ได้ตามมานี้มันสาหัสสากรรจ์ หลายร้อยหลายพันเท่า
ของความสุขที่เราได้รับกัน เราจึงต้องเสียสละจาคะเเบ่งปันของต่าง ๆ แบ่งปันลาภยศ
สรรเสริญ แบ่งปันรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ อย่าไปใช้สิ่งเหล่านี้ให้ความสุขกับเรา
ถ้าจะมีก็มีไว้เพียงแต่ดูแลรักษาร่างกาย ให้อยู่ไปอย่างปกติสุข
คือไม่เจ็บไข้ได้ป่วยไม่ตายไปก่อนวัยอันควร เพื่อที่จะได้ใช้ร่างกายนี้มาพาใจ
ให้เข้าสู่ความสุขภายในใจ อย่างที่นักบวชทั้งหลายได้ทำกัน.
ธรรมะบนเขา วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๗
“แสงสว่างแห่งธรรม”
Cr. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น